
ราคาทองคำพุ่งแรงทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากเกิดภาวะ ชัตดาวน์รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วตลาดการเงินโลก นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) ท่ามกลางความไม่แน่นอน
ราคาทองคำสปอต (Spot Gold) พุ่งทะลุ $3,895 ต่อออนซ์ ถือเป็นจุดสูงสุดใหม่ของปีนี้และในประวัติศาสตร์การซื้อขาย
การทะยานครั้งนี้มาพร้อมกับ
ดอลลาร์อ่อนค่า
ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงลง โดยฟิวเจอร์ส S&P500 และ Nasdaq อ่อนตัวเกือบ 0.5%
สิ่งเหล่านี้สะท้อนความกังวลของนักลงทุนที่เลือกหันมาพึ่งพาทองคำเป็นที่พักเงิน
ต้นเหตุสำคัญคือ การที่สภาคองเกรสสหรัฐฯไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณปี 2026 ได้ทันเวลา ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งต้องหยุดทำงาน (Shutdown)
ข้าราชการราว 750,000 คนถูกพักงานชั่วคราว
รัฐบาลต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มราว $400 ล้านต่อวัน
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) และข้อมูลเงินเฟ้อเสี่ยงถูกเลื่อนหรือขาดตอน ส่งผลให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจขาดข้อมูลหลักในการประเมินเศรษฐกิจ
นาย Austan Goolsbee ประธานเฟดชิคาโก ยอมรับว่า หากข้อมูลหยุดเผยแพร่จริง ธนาคารกลางอาจต้องพึ่งพา “ข้อมูลทางเลือก” เพื่อใช้ตัดสินใจนโยบายการเงินในการประชุมเดือนตุลาคม
ก่อนหน้านี้ ข้อมูล JOLTS ชี้ให้เห็นว่า การเปิดรับสมัครงานใหม่ในสหรัฐฯชะลอตัว ขณะที่การจ้างงานลดลง แสดงให้เห็นถึงแรงส่งในตลาดแรงงานที่อ่อนแรงลง
เมื่อรวมกับวิกฤติชัตดาวน์นี้ ตลาดจึงเชื่อว่า เฟดมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนตุลาคม โดยปัจจุบันสัญญาซื้อขายฟิวเจอร์สสะท้อนโอกาสสูงถึง 96% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย
นอกจากแรงซื้อเชิงเก็งกำไร (Speculative) แล้ว ความต้องการจาก ธนาคารกลางทั่วโลก และการไหลเข้าของกองทุน ETF ที่ลงทุนในทองคำ (Gold-backed ETFs) ยิ่งผลักดันราคาให้พุ่งแรง
สถาบันการเงินรายใหญ่ เช่น Deutsche Bank ประเมินว่า หากบรรยากาศความไม่แน่นอนยังดำเนินต่อไป ราคาทองอาจทะลุ $3,900–$4,000 ต่อออนซ์ ได้ในระยะสั้น
เงินทุนไหลเข้าทองคำทั่วโลก
ราคาทองคำในอินเดีย (MCX) พุ่งทะลุ ₹117,351 ต่อ 10 กรัม ทำสถิติสูงสุดเช่นกัน
เงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังคงหนุนให้ทองเป็นสินทรัพย์หลักที่นักลงทุนทั่วโลกเข้าซื้อ
แม้โลหะมีค่าอื่น ๆ เช่น เงิน (Silver) จะขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 14 ปี แต่ทองคำยังคงเป็นตัวเอกของตลาด
นักวิเคราะห์เตือนว่า การพุ่งขึ้นของราคาทองอาจสะดุดได้หากเกิดปัจจัยเหล่านี้
ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า
เฟดส่งสัญญาณ “แข็งกร้าว” กว่าที่ตลาดคาด
สภาคองเกรสหาทางออกและยุติชัตดาวน์ได้เร็ว
หาก Shutdown ยืดเยื้อ ความเสี่ยงที่ คุณภาพของข้อมูลเศรษฐกิจ (เช่น GDP, CPI, NFP) จะด้อยลง ก็อาจยิ่งเพิ่มแรงสั่นสะเทือนต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายการเงินในอนาคต
สำหรับนักลงทุนไทย การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจสะท้อนว่า ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งในยามวิกฤติ แม้ราคาทองจะสูง แต่ความต้องการทั่วโลกยังไม่ลดลง การลงทุนทองคำจึงยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการกระจายความเสี่ยง (Diversification)
กลยุทธ์ที่ควรติดตาม
จับตาการประชุมเฟดเดือนตุลาคม
ติดตามทิศทางดอลลาร์สหรัฐฯ และการแก้ปัญหาชัตดาวน์
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ราคาทองยังมีโอกาสทดสอบ $4,000 ต่อออนซ์ หากปัจจัยเสี่ยงยังดำเนินต่อไป
ข้อสงวนสิทธิ์: บทความหรือข่าวสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยเนื้อหาบางส่วนอาจเรียบเรียงจากความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน หรืออาจจัดทำขึ้นโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสรุปข้อมูลจากแหล่งข่าวต่าง ๆ ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อการทำความเข้าใจที่ง่ายขึ้น ทั้งนี้ มิได้เป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือการซื้อขายทองคำ สินทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ใด ๆ ผู้จัดทำได้พยายามตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอย่างเต็มที่ แต่อาจมีความคลาดเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา และขอสงวนสิทธิ์ไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่ากรณีใด




